วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทำดีวันปีใหม่

ขณะที่อาจารย์กำลังเขียน blog นี้อยู่ เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะเข้าสู่ปีพ.ศ. 2552 แล้วครับ

ตอนเด็กๆ อาจารย์เชื่อว่าถ้าเราทำตัวอย่างไรในตอนต้นปีแล้วละก็ ปีนั้นทั้งปีเราก็จะเป็นแบบนั้น (ประมาณว่าโดนคำสาปของวันปีใหม่เข้าให้) เช่นถ้าเราตื่นแต่เช้ารับวันใหม่ของปีใหม่ แล้วลุกขึ้นมาอ่านหนังสือด้วยความขยันขันแข็ง ปีนั้นเราก็จะเป็นคนขยัน แต่ถ้าเราขี้เกียจนอนตื่นสายทำตัวเหลวไหลไร้สาระ ปีนั้นทั้งปีเราก็จะไร้สาระ

จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้คงไม่ใช้คำสาปอะไรหรอกครับ เป็นเรื่องของการสร้างแรงจูงใจที่จะทำความดีของตัวเองมากกว่า

การถือเอาวันขึ้นปีใหม่เป็นฤกษ์ดีในการทำอะไรดีๆ หรือละเว้นอะไรที่มันเลวๆ เป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตนักศึกษานะครับ

----------------------------------------------------------------------

ปีใหม่นี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้นักศึกษาและครอบครัวมีความสุขความเจริญ มีชีวิตที่มีสติ ไม่ลุ่มหลง ไม่มัวเมา และไม่ตกเป็นเครื่องมือในทางการเมืองของใครต่อใคร ปีหน้าจะเป็นปีที่ยากลำบากมาก ขอให้ดำเนินชีวิตแบบพอเพียง(จริงๆ) จะซื้อข้าวของอะไรก็ลองพิจารณาดูก่อนว่าของเก่ายังพอซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ได้ไหม? ลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยลงบ้าง (เช่นค่าเหล้าและค่ามิกซ์เซอร์) และพยายามช่วยทางบ้านประหยัดให้มากๆ นะครับ

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิกฤตเศรษฐกิจ 2552+

ห่างหายจากการเขียน blog นี้มานานพอสมควร เพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับการทำเว็บไซต์ของสาขาวิชาอยู่ พอดีวันนี้นศ.ท่านหนึ่งมาบอกว่าอาจารย์ทำ blog ตายมานานแล้วนะครับ ก็เลยได้ฤกษ์มาเขียนซะที

เอาเป็นว่า ต่อไปนี้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเรียน เช่น สไลด์, เอกสารประกอบการสอน, Assignment อะไรต่างๆ นานา นักศึกษาไปโหลดได้จากเว็บไซต์ของสาขาวิชานะครับ (http://www.imtubru.com/)

ส่วน blog นี่ก็เอาไว้อ่านแก้เหงาละกัน อาจารย์ก็เอาไว้เขียนแก้เหงาเหมือนกัน (อิอิ)

...........................................

สิบกว่าปีก่อน (2540) อาจารย์กำลังจะจบปริญญาตรีในภาวะที่คล้ายๆ กับที่เราจะเผชิญในปีหน้าและปีโน้นแหละครับ

สำหรับนักศึกษาที่จบในปีการศึกษานี้ (2551) คงต้องบอกให้ "ทำใจ" กับภาวะการหางานทำที่ค่อนข้างยากยิ่งในปีหน้า

งานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหายากจริงๆ นะครับ เพื่อนๆ ของอาจารย์สมัยนั้น แม้แต่คนที่จบเกียรตินิยม (วิศวกรรมศาสตร์) ยังหางานทำอยู่เป็น 2-3 เดือนเลยทีเดียว!!

ทำใจเสร็จแล้วก็อย่าเครียดครับ คิดซะว่าโอกาสในหางานได้นั้นน้อยกว่าโอกาสที่จะตกงานแน่ๆ แต่อย่าท้อถอยหรือคิดว่าจะอยู่เฉยๆ นะครับ เพราะการไม่หางานนั่นหมายถึงโอกาสได้งานเป็นศูนย์ในทันที

อาจารย์มีทางเลือกสำหรับบัณฑิตที่จะจบใหม่ในช่วงปีนี้มาฝากดังนี้ครับ

1. เพิ่มมูลค่าให้กับตนเอง - เมื่อบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่ได้งานมีปริมาณมากมายอื้ออึงแบบนี้ วิธีการที่จะหนีจากการเป็นปลาในกาละมังที่รอให้นายจ้างมาเลือกไปนั้นคือต้องเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองครับ การเพิ่มมูลค่าทำได้หลายแบบเช่น เรียนภาษาเพิ่มเติมแล้วไปสอบพวก TOEIC หรือข้อสอบกลางของภาษานั้นๆ ไว้, เรียนคอมพิวเตอร์, เรียนวิชาชีพด้านทักษะเชิงช่าง เช่นช่างเย็บจักรอุตสาหกรรม,ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ฯลฯ

2. เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น - ข้อนี้ไม่ค่อยอยากแนะนำ แต่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน จริงๆ แล้วปริญญาโทถ้าได้มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนจะเรียนได้ click มากๆ จริงๆ นะครับ

3. เรียนปริญญาที่สอง - แม้ว่าบัณฑิตส่วนใหญ่จะตกงาน แต่เชื่อไหมครับว่าบัณฑิตกลุ่มหนึ่งก็ไม่เคยตกงานและยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะเรามักจะเลือกเรียนในวิชาอะไรก็ได้ง่ายๆ เช่น บริหารธุรกิจ นิเทศศาสตร์ การจัดการ นิติศาสตร์ ฯลฯ ถ้าสู้ไหวอาจารย์แนะนำให้ไปเรียนอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของม.สุโขทัยธรรมาธิราชต่ออีก 2 ปี จบมาได้เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยวิชาชีพเงินเดือนสูงลิบเชียวนะครับ หรือบางคนอยากเป็นครูก็สามารถเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพครูต่ออีก 1 ปีได้เช่นกัน

4. เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพื่อทำธุรกิจเล็กๆ - นักศึกษาต้องก้าวข้ามผ่านศักดิ์ศรีบ้าๆ บอๆ ที่ว่าชั้นจบปริญญาตรีมาแล้วทำงาน "ต่ำๆ" ไม่ได้ไปก่อนนะครับ จำไว้ว่าไม่มีงานไหนหรอกครับที่มันต่ำ งานทุกงานมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีของตนเองทั้งนั้น นักศึกษาอาจเลือกที่จะเข้าคอร์สฝึกอบรมทำขนม, ทำอาหาร, ชงกาแฟ, ซ่อมรองเท้า, ทำกุญแจ แล้วเริ่มลงทุนทำร้านเล็กๆ (คาดว่าปีหน้ารัฐบาลน่าจะสนับสนุนเงินกู้ผ่านธนาคารออมสินในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท) งานพวกนี้ใช้ความขยันและอัธยาศัยที่ดีของนักศึกษาครับ ไม่แน่ว่าอนาคตลูกศิษย์อาจารย์อาจเป็นนักธุรกิจใหญ่ก็ได้..ใครจะรู้!

5. กลับไปพัฒนาท้องถิ่น - นักศึกษาอาจจะกลับไปอยู่บ้าน แล้วดูว่างานเกษตรกรรมหรืองานใดๆ ที่ครอบครัวของเราทำอยู่นั้นยังมีความสูญเปล่า (Waste) อยู่ในระบบหรือไม่? และพยายามกำจัดมันโดยใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา วิธีนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อนักศึกษาเป็นที่ยอมรับพอสมควรสำหรับคนในบ้าน ไม่อย่างงั้นพูดอะไรไป หรือจะทดลองปรับปรุงอะไรก็จะไม่มีใครเชื่อ อาจแก้ได้โดยขอพ่อ-แม่ลองทำแล้วให้พิสูจน์ที่ผลของงานซึ่งถ้าออกมาดีจริงๆ นักศึกษาอาจได้รับการยอมรับในระดับชุมชนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่จบใหม่ๆ อาจาร์ยอยากให้ลองหางานอย่างเต็มความสามารถสัก 2-3 เดือนดูก่อนนะครับ ช่วงวิกฤตแบบนี้หากได้งานที่เงินเดือนไม่สูงนักแต่ก็พออยู่ได้ก็ขอให้อดทนทำไปก่อนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นเราก็จะมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นไปเองครับ

ขอให้นักศึกษาทุกคนโชคดีครับ!